วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

มัทนาพาธา








เรื่อง มัทนาพาธา
นางในวรรณคดีไทย : มัทนา จาก มัทนพาธา


ความรักทำให้คนตาบอด....จริงหรือ
  • ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมนต์
  • ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดๆ
  • ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
  • ก็โลดจากคอกไป บ่ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
  • ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
  • ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ่ หวลคิดถึงเจ็บกายฯ.
.....
มีเรื่องเล่าว่า... จอมเทพสุเทษณ์เป็นเทพผู้ใหญ่บนสรวงสวรรค์ เป็นทุกข์อยู่ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนา แม้จิตระรถผู้สารถีคู่บารมีจะนำรูปของเทพเทวีผู้เลอโฉมหลายต่อหลายองค์มาถวายให้เลือกชม สุเทษณ์ก็มิสนใจไยดี
จิตระรถจึงนำมายาวินวิทยาธรมาเฝ้า สุเทษณ์ให้มายาวินใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนามาหา เมื่อมาแล้วนางมัทนาก็เหม่อลอยมิมีสติสมบูรณ์ เพราะตกอยู่ในฤทธิ์มนตรา
สุเทษณ์มิต้องการได้นางด้วยวิธีเยี่ยงนั้น จึงให้มายาวินคลายมนตร์ แต่ครั้นได้สติแล้ว นางมัทนาก็ปฏิเสธว่ามิมีจิตเสน่หาตอบด้วย มิว่าสุเทษณ์จะเกี้ยวพาและรำพันรักอย่างไร
สุเทษณ์โกรธนักจึงจะสาปมัทนาให้ไปเกิดในโลกมนุษย์
มัทนาขอให้นางได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นหอม เพื่อให้มีประโยชน์บ้าง สุเทษณ์จึงสาปมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบที่งามทั้งกลิ่นทั้งรูป และมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ยังไม่เคยมีบนโลกมนุษย์
โดยที่ในทุกๆ 1 เดือน นางมัทนาจะกลายร่างเป็นคนได้ชั่ว 1 วัน 1 คืน ในเฉพาะวันเพ็ญของแต่ละเดือนเท่านั้น และถ้านางมีความรักเมื่อใด นางก็จะมิต้องคืนรูปเป็นกุหลาบอีก
แต่นางจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรักจนมิอาจทนอยู่ได้ และเมือนั้นถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ตนจึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นาง
นางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวัน บรรดาศิษย์ของฤษีนามกาละทรรศินมาพบเข้า จึงนำความไปบอกพระอาจารย์ กาละทรรศินจึงให้ขุดไปปลูกในบริเวณอาศรมของตน
ในขณะที่จะทำการขุดก็มีเสียงผู้หญิงร้อง กาละทรรศินเล็งญาณดูก็รู้ว่าเป็นเทพธิดามาจุติ จึงได้เอ่ยเชิญและสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องสืบไป เมื่อนั้นการจึงสำเร็จด้วยดี
วันเพ็ญในเดือนหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งหัสตินาปุระ ได้เสด็จออกล่าสัตว์ในป่าหิมะวันและได้แวะมาพักที่อาศรมพระฤๅษี ครั้นได้เห็นนางมัทนาในโฉมของนารีผู้งดงาม ก็ถึงกับตะลึงและตกหลุมรัก
จนถึงกับรับสั่งให้มหาดเล็กปลูกพลับพลาพักแรมไว้ใกล้อาศรมนั้นทันที ท้าวชัยเสนรำพันถึงความรักลึกซึ้งที่มีต่อนางมัทนา ครั้นเมื่อนางมัทนาออกมาที่ลานหน้าอาศรม ก็มิเห็นผู้ใด ด้วยเพราะท้าวชัยเสนหลบไปแฝงอยู่หลังกอไม้
นางมัทนาได้พรรณาถึงความรักที่เกิดขึ้นในใจอย่างท่วมท้น ท้าวชัยเสนได้สดับฟังทุกถ้อยความ จึงเผยตัวออกมาทั้งสองจึงกล่าวถึงความรู้สึกอันล้ำลึกในใจที่ตรงกัน จนเข้าใจในรักที่มีต่อกัน จากค่ำคืนถึงยามรุ่งอรุณ ท้าวชัยเสนจึงทรงประกาศหมั้นและคำสัญญารัก ณ ริมฝั่งลำธารใกล้อาศรมนั้น
เมื่อมีความรักแล้ว นางมัทนาก็ยังคงรูปเป็นนารีผู้งดงาม มิต้องกลายรูปเป็นกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนได้ทูลขอนางมัทนา พระฤษีก็ยกให้โดยให้จัดพิธีบูชาทวยเทพ และพิธีวิวาหมงคลในป่านั้นเสียก่อน
ท้าวชัยเสนเสด็จกลับวังหลายเพลาแล้ว แต่ก็มิได้เสด็จไปยังพระตำหนักข้างในด้วยว่ายังทรงประทับอยู่แต่ในอุทยาน พระนางจัณฑี มเหสีให้นางกำนัลมาสืบดู จนรู้ว่าพระสวามีนำสาวชาวป่ามาด้วย จึงตามมาพบท้าวชัยเสนกำลังอยู่กับนางมัทนาพอดี
เมื่อพระนางจัณฑีเจรจาค่อนขอดดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนก็กริ้วและทรงดุด่าว่าเป็นมเหสีผู้ริษยา
พระนางจัณฑีแค้นใจนัก ให้คนไปทูลฟ้องพระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งมคธนคร ให้ยกทัพมาทำศึกกับท้าวชัยเสน จากนั้นก็คบคิดกับนางค่อมอราลี และวิทูรพราหมณ์หมอเสน่ห์
ทำอุบายกลั่นแกล้งนางมัทนา โดยส่งหนังสือไปทูลท้าวชัยเสนว่านางมัทนาป่วย ครั้นเมื่อท้าวชัยเสน รีบเสด็จกลับมาเยี่ยมนางมัทนา ก็กลับพบหมอพราหมณ์กำลังทำพิธีอยู่ใกล้ๆ ต้นกุหลาบ
วิทูรกับนางเกศินีข้าหลวงของนางจัณฑี จึงทูลใส่ความว่านางมัทนาให้ทำเสน่ห์ เพื่อให้ได้ร่วมชื่นชูสมสู่กับศุภางค์ ท้าวชัยเสนกริ้วนัก รับสั่งให้ศุภางค์ประหารนางมัทนาแต่ศุภางค์ไม่ยอม ท้าวชัยเสนจึงสั่งประหารทั้งคู่
พระนางจัณฑีได้ช่องรีบเข้ามาทูลว่า ตนจะอาสาออกไปห้ามศึกพระบิดา ซึ่งคงเข้าใจผิดว่านางกับท้าวชัยเสนนั้นบาดหมางกัน
แต่ท้าวชัยเสนตรัสว่าทรงรู้ทันอุบายของนางที่คิดก่อศึกแล้วจะห้ามศึกเอง พระองค์จะขอออกทำศึกอีกครา แล้วตัดหัวกษัตริย์มคธพ่อตาเอามาให้นางผู้ขบถต่อสวามีตนเอง
ขณะตั้งค่ายรบอยู่ที่นอกเมือง วิทูรพรหมณ์เฒ่าได้มาขอเข้าเฝ้าท้าวชัยเสน เพื่อสารภาพความทั้งปวงว่าพระนางจัณฑีเป็นผู้วางแผนการร้าย
ซึ่งในที่สุดแล้วตนสำนึกผิด และละอายต่อบาป ที่เป้นเหตุให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโทษประหาร ท้าวชัยเสนทราบความจริงแล้ว คั่งแค้นจนดำริจะแทงตนเองให้ตาย
แต่อำมาตย์นันทิวรรธนะเข้าห้ามไว้ทัน และสารภาพว่าในคืนเกิดเหตุนั้นตนละเมิดคำสั่ง มิได้ประหารศุภางค์และนางมัทนา หากแต่ได้ปล่อยเข้าป่าไป
ซึ่งนางมัทนานั้นได้โสมะทัตศิษญ์เอกของฤษีกาละทรรศิน นำพากลับสู่อาศรมเดิม แต่ศุภางค์นั้นแฝงกลับเข้าไปร่วมกับกองทัพแล้ว ออกต่อสู้กับข้าสึกจนตัวตาย
ท้าวชัยเสนจึงรับสั่งให้ประหารท้าวมคธ ที่ถูกจับมาเป็นเชลยไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ส่วนพระนางจัณฑีมเหสีนั้นทรงให้เนรเทศออกนอกพระนคร ด้วยทรงเห็นว่าอันนารีผู้มีใจมุ่งร้ายต่อผู้เป็นสามีก็คงต้องแพ้ภัยตนเอง มิอาจอยู่เป็นสุขได้นานแน่
ฝ่ายนางมัทนานั้นได้ทำพิธีบูชาเทพ และวอนขอร้องให้สุเทษณ์จอมเทพช่วยนางด้วย สุเทษณ์นั้นก็ยินดีจะแก้คำสาปและรับนางเป็นมเหสี
แต่นางมัทนาก็ยังคงปฏิเสธและว่าอันนารีจะมีสองสามีได้อย่างไร สุเทษณ์เห็นว่านางมัทนายังคงปฏิเสธความรักของตนจึงกริ้วนัก สาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป
เมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่า นางปริยัมวะทาที่ตามมาปรนนิบัติดูแลนางมัทนาด้วยก็ทูลเล่าความทั้งสิ้นให้ทรงทราบ ท้าวชัยเสนจึงร้องร่ำให้ด้วยความอาลัยรัก แล้วขอให้พระฤษีช่วย
โดยใช้มนตราและกล่าวเชิญนางมัทนาให้ยินยอมกลับเข้าไปยังเวียงวังกับตนอีกครา
เมื่อพระฤษีทำพิธีแล้ว ท้าวชัยเสนก็รำพันถึงความหลงผิด และความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงสามารถขุดต้นกุหลาบได้สำเร็จ
ท้าวชัยเสนได้นำต้นกุหลาบขึ้นวอทองเพื่อนำกลับไปปลูกในอุทยาน และขอให้ฤๅษีกาละทรรศิน ให้พรวิเศษว่ากุหลาบจะยังคงงดงามมิโรยรา ตราบจนกว่าตัวพระองค์เองจะสิ้นอายุขัย พระฤษีก็อวยพรให้ดังใจ และประสิทธิประสาทพรให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกนี้มิมีสูญพันธ์
อีกทั้งเรื่องนี้เกิดจากเอาแต่ใจตัวเองของทวยเทพที่มีอำนาจ..และหักหาญความรักของสตรี อยากได้ฉันต้องได้ ไม่ได้ก็ทำลายลงโทษ

  • แต่กิเลสของมนุษย์สตรีพึ่งหวงแหนชายอันเป็นที่รักแห่งตน..พระนางจันฑีก็สูญเสียหนักกว่ามัทนาเสียอีก เพราะรักมาก..ไป..

นางมณโฑ




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นางมณโฑ
รามเกียรติ์ ตอนนางมณโฑ....


กายสีขาว ทรงมงกุฏกษัตริย์ ชาติเดิมเป็นกบ โดยอาศัยอยู่ใกล้กับอาศรมของพระฤๅษี ๔ ตน คือ อตันตา อธิรา วิสูตร และมหาโรมสิงห์ ณ เชิงเขาหิมพานต์ นางได้อาศัยนมโคที่ฤๅษีฉันเหลือเพื่อยังชีพ
จนวันหนึ่งนางได้เห็นนางนาคมาคายพิษ เพื่อฆ่าฤๅษีทั้ง 4 ตน จึงบังเกิดความกตัญญูต่อฤๅษี โดยยอมเสียสละชีวิตเพื่อแทนพระคุณด้วยการโดดลงไปกินนมที่มีพิษนาค และตายลอยอยู่
เมื่อฤๅษีทั้ง ๔ ได้ มาพบเกิดความสงสัยจึงชุบชีวิตนางขึ้นมาซักถาม เมื่อได้ทรงความจริงจึงได้สรรเสริญความกตัญญูของนางกบ และร่วมกันชุบนางกบขึ้นเป็นมนุษย์ มีความงดงาม และให้ชื่อว่า มณโฑ ซึ่งแปลว่า กบ นั่นเอง
ต่อมาพระฤๅษีได้นำนางมณโฑไปถวายเป็นข้าพระอุมาบนสวรรค์ จนในที่สุดก็ถูกยกให้แก่ทศกัณฐ์ เพื่อเป็นบำเหน็จในการยกเขาไกรลาศ
ขณะที่ทศกัณฐ์พาเหาะมาเมืองลงกา เกิดผ่านเมืองขีดขีน ซึ่งพาลีเป็น เจ้าเมืองอยู่ พาลีจึงเข้ามาต่อสู้ ยื้อแย่งนางจากทศกัณฐ์ นางจึงตกเป็นของพาลีจนเกิดตั้งครรภ์
ก็ถูกฤๅษีอังคตสั่งให้ส่งนางคืนทศกัณฐ์ โดยฤๅษีอังคตได้ผ่าท้อง นำทารกไปฝากไว้ในท้องแพะจนเกิดเป็นองคต
เมื่อนางมาอยู่กับทศกัณฐ์ ก็ให้กำเนิดบุตรชื่อ อินทรชิต และเมื่อท้าวทศรถทำพิธีกวนข้าวทิพย์ นางมณโฑได้กลิ่นหอมก็อยากกินข้าวทิพย์นั้น ทศกัณฐ์จึงใช้กากนาสูร ไปคาบข้าวทิพย์มาได้ครึ่งก้อน
เมื่อนางมณโฑกินเข้าไปก็เกิดตั้งครรภ์ และเกิด...นางสีดา ในตอนหลังมื่อทศกัณฐ์สิ้นชีพ นางก็ตกเป็นชายาของพิเภก โดยมีครรภ์กับทศกัณฐ์ติดตามมา ซึ่งพิเภกไม่รู้ความจริงภายหลังเมื่อคลอดแล้วกุมารนั้นมีชื่อว่า...ไพนาสุริวงศ์
นางมณโฑมีความสามารถในการหุงน้ำทิพย์ ซึ่งช่วยชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ ในตอนท้ายสงคราม นางมณโฑได้ทำพิธีหุงน้ำทิพย์ เพื่อชุบชีวิตพลยักษ์ แต่หนุมานได้แปลงเป็นทศกัณฐ์เข้าไปสมสู่ จนเสียพิธี
นางมณโฑ เป็นผู้ที่รู้จักความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณแก่ตน โดยไม่สนใจว่าตนจะต้องตายหรือไม่ ทั้งยังมีความรักลูก รักสามี ไม่โกรธเคืองที่สามีหาผู้หญิงอื่นมาอยู่ด้วย

☆☆ นับว่าไม่มีในตำนานกล่าวถึงนาง เกี่ยวกับเรื่องมากผัวมากชาย ดั่งเช่น นางวันทอง นางกากี นางโมรา...


พระสุธน - มโนราห์




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พระสุธน มโนราห์ 2558
พระสุธน - มโนราห์
ภาคต่อกลับชาติมาเกิดใหม่ของพระรถ-เมรี ชาตินี้ พระสุธนต้องตามหามโนราห์ตามคำอธิษฐานของนางเมรี..อย่างไร ลองอ่านนะครับ..


นางมโนราห์...เป็นธิดาองค์เล็กของท้าวทุมราชผู้เป็นพระยากินนร นางมีพระพี่นางอีกหกองค์ล้วนมีหน้าตาเหมือน ๆ กัน งดงามยิ่งกว่านางมนุษย์ รูปร่างหน้าตาของพวกเขาเหมือนมนุษย์แต่มีปีกและหางที่ถอดออกได้ เมื่อใส่ปีกใส่หางแล้วกินนรก็สามารถบินไปยังที่ต่าง ๆ ได้
นางมโนราห์และพี่น้องทั้งหกได้ไปเล่นน้ำที่สระน้ำอโนดาต เจอพรานบุญที่ต้องการจับตัวนางกินรีเพราะเห็นว่านางงดงามคู่ควรแก่พระสุธน โอรสแห่งเมือง ปัญจาลนคร
พรานบุญจึงไปยืมบ่วงนาคบาศจากท้าวชมพูจิต พญานาคราช ซึ่งได้ให้ยืมบ่วงนาคบาช เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตเอาไว้และเห็นว่าพระสุธนกับนางมโนราห์เป็นเนื้อคู่กัน พรานบุญได้จับนางมโนราห์ไปถวายแก่พระสุธน พระสุธนเห็นเข้าก็เกิดหลงรักนางและพานางกลับเมือง และได้อภิเษกกัน
ต่อมาปุโรหิตคนหนึ่งได้เกิดจิตอาฆาตแค้นแก่พระสุธน เพราะว่าพระสุธนไม่ให้ตำแหน่งแก่บุตรของตน เมื่อถึงคราวเกิดสงคราม พระสุธนออกไปรบ พระบิดาได้ทรงพระสุบิน
ปุโรหิตได้ทำนายว่าจะเกิดภับพิบัติครั้งใหญ่ ให้นำนางมโนราห์ไปบูชายัญ ซึ่งท้าวอาทิตยวงศ์ได้ยินยอมตามนั้น นางมโนราห์รู้เข้าก็เกิดตกใจ จึงออกอุบาย ของปีกกับหางขอนางคืน เพื่อร่ายรำหน้ากองไฟก่อนจะตาย
เมื่อนางได้ปีกกับหางแล้ว นางก็ร่ายรำได้สักพักก็บินหนีไป ไปเจอฤาษีก็ได้กล่าวกับฤาษีว่า หากพระสุธนตามมาให้บอกว่าไม่ต้องตามนางไป เพราะมีภยันอันตรายมากมาย และได้ฝากภูษาและธำมรงค์ให้พระสุธน
เมื่อนางมโนราห์ได้กลับไปที่เมืองก็จะได้มีพิธีชำระล้างกลิ่นอายมนุษย์ ฝ่ายพระสุธนที่กลับจากสงครามได้ลงโทษปุโรหิต และติดตามหานางมโนราห์ เมื่อเจอพระฤาษี พระสุธนจะติดตามนางมโนราห์ต่อไป โดยมีพระฤาษีค่อยช่วยเหลือ เป็นเพราะเวรกรรมแต่ชาติที่แล้วนั่นคือ "มโนราห์"
นางมโนราห์ คือ พระนางเมรี และ พระสุธน คือ พระรถเสน ทำให้พระสุธนได้รับความลำบากมาก เมื่อพระสุธนมาถึงสระน้ำอโนดาต ได้แอบเอาพระธำมรงค์ใส่ลงในคณโฑของนางกินรีนางหนึ่ง ซึ่งนางกินรีได้นำน้ำนั้นไปสรงให้นางมโนราห์ พระธำมรงค์ได้ตกลงมาที่แหวนของนางพอดี
ทำให้นางรู้ว่าพระสุธนมาหานาง นางจึงได้แจ้งแก่พระมารดา ซึ่งพระบิดาต้องการทราบว่าพระสุธนมีความรักจิงต่อนางมโนราห์หรือไม่ ได้รับพระสุธนมาที่เมืองและให้พระสุธนบอกว่านางไหนคือนางมโนราห์ ซึ่งนางมโนราห์และพี่ๆๆ มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน
ร้อนถึงองค์อินทร์ ต้องแปลงกายมาเป็นแมลงวันทอง จับที่ผมของนางมโนราห์ ทำให้นางมโนราห์และพระสุธนได้เคียงคู่อย่างมีความสุข


นางสิบสอง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นางสิบสอง พระรถเมรี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นางสิบสอง

นิทานพื้นบ้าน...น า ง สิ บ ส อ ง...


ณ เมืองทานตะวัน เมืองในอีกมิติเป็นที่อยู่ของนางยักษ์สนธมารผู้ครองเมือง เมืองนี้มีผลไม้ที่ชื่อ “มะม่วงหาว “ และ “มะนาวโห่” ซึ่งเป็นผลไม้วิเศษที่หากคนต่างเผ่าพันธุ์เกิดรักกันแล้ว ถ้ากินผลมะม่วงหาวและมะนาวโห่ จะทำให้สามารถมีลูกได้ จึงเป็นที่ต้องการของคนต่างเมือง ที่มักจะลอบเข้ามาขโมยผลไม้เสมอ แต่ไม่มีใครเคยรอดออกมาได้
ณ เมืองมนุษย์ เศรษฐีและภรรยาได้บนบานขอลูกจากเทวดา แต่เกิดความผิดพลาด เทวดาจึงเสกลูกสาวมาให้ถึง 12 คน ทำให้เศรษฐียากจนลงเรื่อย ๆ จนต้องนำนางทั้ง 12 ไปปล่อยป่า
ในขณะเดียวกัน นางสนธมารได้แก่ลง ศัลยมารเสนอว่าต้องผสมยาอายุวัฒนะให้นางยักษ์สนธมารเพื่อให้คงความสาวไปตลอด โดยมีส่วยผสมหลักคือดวงตาของนางสิบสอง นางยักษ์สนธมารจึงได้ให้ภูติเงาออกตามหานางสิบสอง
ระหว่างที่นางสิบสองเดินหลงอยู่ในป่า ภูติเงาได้ปรากฏตัวในเงาสะท้อนของลำธาร เห็นนางสิบสองที่ได้ตามหา จึงรีบไปแจ้งพระนางสนธมาร
พระนางสนธมารสั่งให้คนในเมืองยักษ์แปลงตัวเป็นคนให้หมดแล้วรับนางทั้งสิบสองให้เป็นธิดาบุญธรรม เพื่อรอให้ดวงตาของนางทั้งสิบสองโตพอเหมาะที่จะใช้ทำยา
นางทั้งสิบสองโตจนเป็นสาว เภา น้องคนสุดท้องเริ่มสงสัยว่าคนในเมืองจะเป็นยักษ์ จนได้โอกาสที่พระนางสนธมารออกเดินทางไปนอกเมือง จึงรีบพาพวกพี่ ๆ หนีออกจากเมือง
นางยักษ์สนธมารกลับมารู้ว่าพระธิดาทั้งสิบสองหายไปก็โกรธมาก รีบให้ภูติเงาออกตามหา ณ เมืองกุตารนคร โหรหลวงได้ทำนายว่าท้าวรถสิทธิ์ จะทรงมีเนื้อคู่ทีเดียวสิบสองคน ท้าวรถสิทธิ์สั่งให้ทหารออกตามหานางสิบสองคนที่เป็นพี่น้องกัน ในขณะที่นางทั้งสิบสองได้หนีเข้ามาในกุตารนครพอดี ท้าวรถสิทธึจึงอภิเษกนางทั้งสิบสองให้เป็นมเหสีตั้งแต่นั้นมา
กล่าวถึงเมืองพญายักษ์ ซึ่งมีภรรยาเป็นมนุษย์ อยากมีลูก พญายักษ์ รู้ดีว่าน้ำมะงั่วหาว มะนาวโห่นั้นมีอยู่ที่เมืองทานตะวันเท่านั้น เห็นดังนั้นพญายักษ์ จึงแต่งหนังสือ และให้เสนาส่งไปที่มีเมืองทานตะวันทันที
นางศรีสมุทรได้ลิ้มรสมะงั่วหาวมะนาวโห่ก็ได้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝด พญายักษ์ดีใจมาก และได้ตั้งชื่อให้กับธิดาองค์ใหญ่ ชื่อเมรี องค์เล็กชื่อศรีทัศนา
สนธมารเมื่อรู้ข่าว จึงมีหนังสือให้เสนาไปถวายให้กับพญายักษ์ เพื่อขอธิดาองค์หนึ่งของพญายักษ์มาเลี้ยง พญายักษ์ยอมยกธิดาเมรี ให้นางยักษ์สนธมารเพื่อเป็นลูกเลี้ยง และเลี้ยงดูธิดาเมรีอย่างรักใคร่
ระหว่างนั้นนางยักษ์สนธมาร ก็ได้ให้ภูติเงาตามหานางทั้งสิบสองจนพบ ว่าอยู่ที่เมืองกุตารนครจึง จึงให้เมรีดูแลเมือง ส่วนตนออกเดินทางไปกุตารนคร ออกอุบายปลอมตัวเป็นหญิงสาว แล้วใช้ยาเสน่ห์ที่ปรุงโดยศัลยมาร เพื่อทำให้ท้าวรถสิทธิ์หลงรัก
ท้าวรถสิทธิ์โดนเสน่ห์มารยา ก็หลงนางสนธมารจนโงหัวไม่ขึ้น เมื่อสบโอกาส นางสนธมารก็แกล้งป่วย บอกว่าแพ้นางทั้งสิบสอง ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ท้าวรถสิทธ์จึงสั่งให้จับนางสิบสองไปขังไว้ในถ้ำ
พระนางสนธมารให้ศัลยมารแปลงเป็นคนเข้ามาเลือกดวงตาของนางทั้งสิบสองในถ้ำ แต่ดวงตาของเภาคนสุดท้องยังไม่ได้กำหนด ศัลยมารจึงควักไปข้างเดียว เพื่อรอเวลา
ศัลยมารนำดวงตาไปเก็บไว้ที่เมืองทานตะวัน ส่วนพระนางสนธมารก็รอเวลาให้ทุกอย่างพร้อม โดยหารู้ไม่ว่าระหว่างที่อยู่ในถ้ำ เภาได้ตั้งครรภ์ และคลอดลูกของตนออกมา โดยตั้งชื่อลูกของตนว่ารถเสน

เจ้าหญิงนกกระจาบ




ตำนาน ''นกกระจิบ นกกระจาบ''


เจ้าหญิงนกกระจาบ (สุวรรณเกษร)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง มีนกกระจาบสองผัวเมียพร้อมด้วยลูกเล็กๆ อีก 4 ตัวทำรังอาศัยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ แม่นกนั้นคอยอยู่ดูแลลูกอ่อน ส่วนพ่อนกมีหน้าที่บินออกไปหาเหยื่อมาเลี้ยงลูกเมีย
วันหนึ่งพ่อนกบินหาอาหารออกไปไกลถึงกลางบึงใหญ่ซึ่งมีดอกบัวขึ้นอยู่มากมายทำให้พ่อนกเพลิดเพลินจนลืมเวลา ครั้นถึงตอนเย็นดอกบัวก็หุบกลีบเข้าหากันและได้ขังพ่อนกเอาไว้ข้างใน ไม่ว่าพ่อนกจะพยายามดิ้นรนอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้
ฝ่ายแม่นกและลูกๆรออาหารอยู่ด้วยความหิวโหย บังเอิญคืนนั้นเกิดไฟไหม้ป่า แม่นกไม่สามารถช่วยพาลูกๆ หนีภัยได้จึงทิ้งรังไว้จนลูกนกโดนไฟคลอกตายทั้งหมด ส่วนแม่นกนั้นเกาะกิ่งไม้ร้องไห้ด้วยความอาลัยรักลูกๆ ของตน
พอถึงเวลาเช้าดอกบัวสยายกลีบพ่อนกก็รีบบินกลับ ครั้นพบแต่รังที่กลายเป็นเถ้าถ่านรู้สึกเสียใจรีบเข้าไปหาแม่นก แต่นางนกกระจาบได้ตัดพ้อต่อว่าหาว่าพ่อนกมัวไปติดพันนางนกอื่นอยู่จึงไม่ยอมกลับรัง แม้พ่อนกจะพยายามอธิบายอย่างไรนางนกกระจาบก็ไม่ยอมฟัง
นางได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าหากเกิดชาติหน้าฉันใดจะไม่ยอมพูดกับผู้ชายคนไหนอีกเลย แล้วนางนกกระจาบก็บินเข้าสู่กองไฟตายตามลูกๆ ไป
พ่อนกเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ อธิษฐานว่าด้วยความสัตย์จริงในสิ่งที่ตนกระทำลงไป โดยมิได้มีเจตนานอกใจนางนกกระจาบ ขอให้ตนเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่นางนกกระจาบซึ่งไปเกิดใหม่ยอมพูดด้วย ล้วพ่อนกก็โผเข้ากองไฟสิ้นใจตามไปอีกตัวหนึ่ง
นางนกกระจาบได้มาเกิดใหม่เป็นเจ้าหญิงสุวรรณเกษร ราชธิดาของท้าวพรหมทัต และพระมเหสีซึ่งมีนามว่า พระนางโกสุมาแห่งเมืองโกสัมพี (บางตำนานว่ามาเกิดเป็นเจ้าหญิงสุวรรณโสภา ราชธิดาของพระเจ้าอุสภราช และพระนางกุสุมพา กษัตริย์ผู้ครองเมือง ศิริราชนคร)
พระธิดาสุวรรณเกสรนั้นเป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์สิริโฉมโสภาเกินกว่าหญิงใดในหล้า แต่เมื่อเกิดมาจวบจนถึงวัยครองเรือน นางกลับไม่ยอมเอ่ยปากพูกับผู้ชายคนไหนทั้งสิ้น แม้แต่ผู้เป็นพระบิดาของตนเอง
ท้าวพรหมทัตรู้สึกทุกข์ในพระทัยยิ่งนัก ถึงกับให้มีประกาศไปทั่วทุกแคว้นแดนดินว่า หากชายใดสามารถทำให้พระธิดายอมพูดด้วย ก็จะให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงสุวรรณเกสรทันที
บรรดากษัตริย์รวมทั้งเศรษฐีจากเมืองต่างๆ ได้ส่งพระโอรสและทายาทของตนมาขอทดสอบ แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนเจ้าหญิงสุวรรณเกสร ก็ไม่ยอมเอ่ยปากเจรจากับเจ้าชายหรือทายาทหนุ่มของเศรษฐีคนใดเลยแม้แต่เพียงคำเดียว
ต่างรู้สึกท้อใจและเดินทางกลับบ้านเมืองของตนไปจนหมดสิ้น กล่าวถึงพ่อนกกระจาบซึ่งได้มาเกิดใหม่เป็น เจ้าชายสรรพสิทธิ์ พระโอรสของ พระเจ้าวิชัยราช กับ พระนางอุบลเทวี แห่งอลิกนคร
เมื่อทราบเรื่องราวเกี่ยวกับพระธิดาสุวรรณเกษร ทำให้เจ้าชายสรรพสิทธิ์สนใจนึกอยากจะไปทดสอบดู เพราะเคยไปเรียนวิชา อรภินทวิทยา อันเป็นวิชาเกี่ยวกับการถอดจิต คิดว่าคงจะพอมีวิธีทำให้เจ้าหญิงสุวรรณเกสรพูดกับตนได้
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทราบว่ามีเจ้าชายจากเมืองใกล้เคียงมาอาสาก็ดีพระทัย สั่งให้ทำการกั้นม่านขึ้นเจ็ดชั้นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเจ้าชายจะพูดคุยกับเจ้าหญิงได้เพียงข้างนอก ห้ามรุกล้ำเข้าไปด้านในอย่างเด็ดขาด
และในห้องใกล้กันนั้นมีวงมโหรีคอยฟังอยู่ หากได้ยินเสียงเจ้าหญิงสุวรรณเกสรเมื่อใดก็จะพากันบรรเลงขึ้นเพื่อเป็นพยาน ครั้นตกค่ำเจ้าชายสรรพสิทธิ์จึงเข้าไปในที่ซึ่งจัดไว้พร้อมด้วย ชานุ ผู้เป็นพี่เลี้ยงคนสนิท ซึ่งไปเรียนวิชาอรภินทวิทยาจากเมืองตักศิลามาด้วยกัน
เจ้าชายได้ถอดดวงจิตของชานุไปสถิตไว้ที่ชวาลา (ตะเกียงรูปร่างคล้ายคนโท แต่มีพวยเหมือนกาน้ำซึ่งใช้จุดให้แสงสว่างในสมัยโบราณ) แล้วเจ้าชายได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากตนกับพระธิดาเป็นเนื้อคู่กัน ขอให้นางยอมเอ่ยปากเจรจาด้วย
จากนั้นเจ้าชายได้เอ่ยปากพูดคุยกับชวาลา ชวนให้เล่านิทานให้ฟัง ชวาลาตอบว่าตนไม่มีเรื่องอะไรจะเล่า หากเจ้าชายมีเรื่องสนุกก็จงเล่ามาเถิด
เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้เล่าเรื่องราวของพ่อค้าเรือ 4 คน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน วันหนึ่งพ่อค้าคนหนึ่งเห็นท่อนจันทน์ลอยมา จึงเก็บนำมาแกะเป็นสตรีที่สวยงามและมีชีวิตขึ้นมา
พ่อค้าคนที่สองได้นำเครื่องประดับมาตกแต่งให้ พ่อค้าคนที่สามนำอาสนะมาให้รูปสลักนั้นนั่ง ส่วนพ่อค้าคนที่สี่ได้นั่งสนทนากับรูปแกะสลักนั้น
ในตอนท้ายเจ้าชายเอ่ยถามปริศนากับดวงชวาลาว่าเมื่อพ่อค้าทั้ง 4 ต่างก็มีใจรักในรูปแกะสลักนั้น ควรตัดสินให้นางเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร
ชวาลาตอบว่าควรเป็นของผู้ที่แกะสลักนางขึ้นมาจากท่อนไม้จันทน์ เจ้าหญิงสุวรรณเกสรซึ่งนิ่งฟังเรื่องราวมาโดยตลอด ก็เผลอแย้งขึ้นว่าพ่อค้าผู้แกะสลักควรอยู่ในฐานะบิดา พ่อค้าผู้นำอาสนะมาให้นั่งควรอยู่ในฐานะมารดา พ่อค้าผู้มานั่งสนทนาด้วยควรอยู่ในฐานะพี่ชาย ส่วนพ่อค้าผู้นำเครื่องประดับมาตบแต่งให้นางนั้น เป็นผู้ควรอยู่ในตำแหน่งสามี
ทันใดนั้นเสียงปี่พาทย์ก็บรรเลงขึ้น เจ้าหญิงสุวรรณเกสรทรงนึกด่าเผลอพูดออกไปจึงนิ่งเงียบเหมือนเช่นเดิม เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ย้ายดวงจิตของชานุผู้เป็นพี่เลี้ยงจากดวงชวาลาไปไว้ ณ ข้างเตียงบรรทมของเจ้าหญิง
แล้วเล่านิทานปริศนาเรื่องใหม่ว่า มีพระกุมาร 4 องค์จากเมืองต่างๆ มาเรียนวิชาในสำนักเดียวกันจนกลายเป็นสหายสนิท และต่างก็มีวิชาดีกันคนละอย่าง
วันหนึ่งทั้ง 4 ได้ไปนั่งอยู่ชายฝั่งทะเล คนที่มีวิชาหมอดูบอกกับเพื่อนๆ ว่าประเดี๋ยวจะมีนกอินทรียักษ์โฉบผู้หญิงผ่านมา คนที่เป็นนักแม่นธนูรีบเล็งศรไว้คอยท่าและสามารถยิงสังหารนกอินทรีนั้นได้อย่างแม่นยำ
หญิงที่นกนั้นโฉบมาก็ตกลงสู่ทะเล คนที่เก่งทางดำน้ำก็รีบดำลงไปช่วย ครั้นเห็นว่าหญิงนั้นเสียชีวิตไปแล้ว คนที่มีวิชาชุบคนตายให้ฟื้นจึงชุบชีวิตของนางขึ้นมา
ในตอนท้ายเจ้าชายถามต่อดวงจิตของชานุผู้เป็นพี่เลี้ยงว่า เมื่อพระกุมารทั้ง 4 เกิดการยื้อแย่งกันครอบครอง หญิงผู้นี้ควรเป็นของใคร ดวงจิตตอบว่าหญิงผู้นี้ควรเป็นของชายคนที่เก่งทางยิงธนู เพราะเป็นผู้ช่วงชิงเธอมาจากนกอินทรียักษ์
เจ้าหญิงสุวรรณเกสรนิ่งฟังอยู่และพิจารณาตามเนื้อเรื่อง เผลอแย้งว่าหญิงนั้นควรเป็นสิทธิของนักประดาน้ำ เพราะเขาได้แตะต้องตัวเธอ
ครั้นเมื่อได้ยินเสียงปี่พาทย์บรรเลงขึ้น เจ้าหญิงจึงทรงนึกขึ้นได้ก็นิ่งเงียบอีกครั้ง เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ย้ายดวงวิญญาณของชานุผู้เป็นพี่เลี้ยง ไปไว้ใกล้พระที่บรรทมของเจ้าหญิงแล้วเล่านิทานปริศนาเรื่องที่ 3 เกี่ยวกับชายและหญิง 4 คู่ ซึ่งได้มาพบปะพูดจาเกี้ยวพาราสีกัน
เมื่อฝ่ายชายถามฝ่ายหญิงว่าเรือนของเธอนั้นอยู่ที่ไหน หญิงคนแรกใช้นิ้วลูบศีรษะแล้วบอกว่าเรือนของตนอยู่ที่นี่ หญิงคนที่สองเอามือลูบนมพลางบอกว่าเรือนของฉันอยู่ที่นี่ หญิงคนที่สามใช้มือลูบแก้มพลางบอกว่านี่เรือนของฉัน ส่วนหญิงคนที่สี่เอามือลูบคิ้วพลางบอกว่านี่เรือนของฉัน
ครั้นหญิงทั้งสี่กลับไปเรือนของตน ชายทุกคนต่างปรึกษากันแต่ก็ไขปริศนาไม่ออก เผอิญมีโจรคนหนึ่ง ถูกหลาวเสียบนอนกลิ้งเกลือกอยู่ใกล้กัน
ครั้นได้ยินเรื่องราวของชายทั้งสี่ จึงไขปริศนาให้ โดยโจรบอกว่า
ให้ชายคนที่หนึ่งเดินไปทางทิศตะวันออกราว 5 อุสุภ (1 อุสุภยาวประมาณหนึ่งเส้นสิบห้าวา) เรือนของหญิงคนรักอยู่ใต้ต้นไทร
ให้ชายคนที่สองเดินไปทางทิศตะวันตกราว 8 อุสุภ เรือนของหญิงคนรักอยู่ ใกล้ต้นขนุน
ให้ชายคนที่สามเดินไปทางทิศใต้ประมาณกึ่งโยชน์ เรือนของหญิงคนรักอยู่ใกล้เตาของช่างปั้นหม้อ
ให้ชายคนที่สี่เดินไปทางทิศเหนือประมาณ 1 โยชน์ เรือนของหญิงคนรักอยู่ใกล้สระสาหร่าย (เป็นเรื่องของคำศัพท์ในภาษาจากต้นฉบับ จึงยากแก่การแปลความหมายให้เข้าใจในปริศนา)
เมื่อหญิงทั้งสี่ทราบว่าชายคนรักของตนรู้ปริศนาเพราะโจรช่วยเฉลยจึงพากันขับไล่ และพวกนางต่างไปนำโจรนั้นมารักษา หญิงคนที่หนึ่งนำอาหารมาให้เป็นประจำ หญิงคนที่สองทำหน้าที่อาบน้ำชำระร่างกาย หญิงคนที่สามเอาน้ำร้อนมาให้ หญิงคนที่สี่เอาปัสสาวะอุจจาระไปเททิ้งให้
ต่อมานายโจรผู้นั้นได้หายเป็นปกติ อยากทราบว่าหญิงคนไหนสมควรอยู่ในฐานะภรรยาของนายโจร ดวงจิตตอบว่าควรเป็นหญิงผู้ที่นำปัสสาวะอุจจาระเททิ้งให้
เจ้าหญิงสุวรรณเกษรก็เผลอแย้งว่า ควรจะเป็นหญิงที่นำอาหารมาให้เพราะทำหน้าที่เหมือนผู้เป็นภรรยา พลันเสียงพิณพาทย์ก็บรรเลงขึ้นเป็นครั้งที่ 3
เจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ถอดดวงจิตของชานุย้ายไปไว้ที่พระเขนย (หมอน) ของเจ้าหญิงสุวรรณเกษร แล้วถามปริศนาว่า ระหว่างการสัมผัสนุ่นกับสัมผัสเส้นผมอันละเอียดอ่อนของสตรีรูปงามอันเป็นที่รักยิ่ง ไหนจะนุ่มมือมากกว่ากัน
ดวงจิตตอบว่านุ่ม แต่เจ้าหญิงแย้งว่า สามีที่มีจิตอ่อนโยนไม่แข็งกระด้างต่างหากจึงชื่อว่ามีสัมผัสอ่อนยิ่งกว่านุ่นและสตรี พลันเสียงปี่พาทย์ก็บรรเลงขึ้นเป็นครั้งที่ 4
พระเจ้าพรหมทัตจึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้กับเจ้าชายสรรพสิทธิ์ และเจ้าหญิงสุวรรณเกษร และให้ครองเมืองอลิกนครอย่างมีความสุขนับแต่นั้นมา
เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงนกกระจาบนี้ บางตำนานบอกว่าหลังจากพิธีอภิเษกแล้ว วันหนึ่งเจ้าชายสรรพสิทธิ์ได้ออกประพาสป่ากับชานุพระพี่เลี้ยง แล้วทรงถอดดวงจิตไปสิงในร่างกวางที่ตายแล้วและออกวิ่งท่องเที่ยวในป่าอย่างสำราญพระทัย
ฝ่ายชานุนั้นมีใจรักในตัวเจ้าหญิงสุวรรณเกษร ขณะกำลังดูแลร่างของเจ้าชายสรรพสิทธิ์ก็คิดแผนการอันชั่วร้าย โดยทำการถอดดวงวิญญาณของตนไปเข้าร่างเจ้าชายเพื่อจะสวมรอยแต่ก็ไม่อาจแตะต้องเนื้อตัวของเจ้าหญิงสุวรรณเกสรได้
เพราะรู้สึกร้อนดังจับต้องถ่านไฟเจ้าชายสรรพสิทธิ์ในร่างกวางกลับมาห็นร่างของตนหายไป ส่วนร่างของชานุนั้นถูกไฟเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน ก็เดาเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที
แต่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากจะเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งพบร่างนกแก้วนอนตายอยู่ จึงถอดวิญญาณเข้าสิงแล้วบินกลับไปหาพระชายา พร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
เจ้าหญิงสุวรรณเกสรจึงแกล้งขอให้ชาณุถอดดวงวิญญาณไปเข้าร่างแพะให้ชม ในเวลานั้นเองเจ้าชายสรรพสิทธิ์ ก็รีบถอดดวงวิญญาณมาเข้าร่างของตนตามเดิมแล้วสังหารแพะตัวนั้น เรื่องราวของเจ้าหญิงนกกระจาบก็เป็นอันยุติแต่เพียงเท่านี้

พิมพิลาไลย





นางในวรรณคดีคนหนึ่งที่สวยมาก
คือ พิมพิลาไลย หรือ นางวันทอง
ทำไม..ถึงชื่อว่า นางวันทอง 2 ใจ

"ทรวดทรงส่งศรีไม่มีแบน อรชรอ้อนแอ้นประหนึ่งเหลา
ผมสลวยสวยขำงามเงา ให้ชื่อเจ้าว่าพิมพิลาไลย"
  • นี่คือ"ความงาม"ของ"พิมพิลาไลย" สาวงามแห่งเมืองสุพรรณ ธิดาของพันศรโยธา และนางศรีประจัน พ่อค้าฐานะดีแห่งสุพรรณ นางพิมจึงได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี 
  • โดยเฉพาะนิสัยใจคอ ที่ว่ากันว่า"ถอดแบบ"มาจากแม่ (ซึ่งคงเป็นแม่ค้า) คือเป็นคนเจ้าคารม ชอบประชดประชันเสียดสี และหากโกรธใครขึ้นมา แม่พิมฯ จะด่าใครแบบไม่ไว้หน้า
  • แต่พิมพิลาไลยก็เป็นสาวที่ถูกอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี คือเป็นคนละเอียดอ่อน และมีความเป็นแม่ศรีเรือน ชอบเรื่องเย็บปักถักร้อย และมีน้ำใจงดงาม เมตตาและให้อภัยทุกคนโดยไม่เคียดแค้น
  • น่าเสียดายที่ชะตากรรมของแม่พิมฯเกิดจากความสวย....
  • ตั้งแต่วัยเด็ก พิมพิลาไลยมี"หนุ่มน้อย"หมายปองเธออยู่ 2 คน คือ"พลายแก้ว" บุตรขุนไกรพลพ่ายกับนางทองประศรี หนุ่มรูปงามแห่งเมืองสุพรรณ แต่พ่อแม่ให้ไปบวชเณรที่เมืองกาญจนบุรี จนได้เรียนรู้เวทย์มนต์คาถาอาคมต่างๆ จากขรัวบุญ สมภารวัดใหญ่
  • อีกหนุ่มที่หมายปองแม่พิมฯมานานก็คือเพื่อนเล่นชื่อ"ขุนช้าง" บุตรชายเจ้าสัวใหญ่แห่งเมืองสุพรรณบุรี หนุ่มร่างใหญ่หัวล้าน ที่รักแม่พิมฯของเขาอย่างจริงใจจนวาระสุดท้าย 2 คนต่างก็"สมหวัง"ได้อยู่กัยพิมพิลาไลย แม้จะต่างกาลต่างเวลา 
  • แต่ทั้ง 2 ช่วงก็หาทำให้แม่พิมฯมีความสุขไม่
  • ถ้าถามว่า"พิมพิลาไลย"รักใคร ..คำตอบก็คงเป็น"พลายแก้ว"
  • "พลายแก้ว"เป็นรักแรกของพิมพิลาไลย และพิมพิลาไลยก็คงเป็นรักแรกของหนุ่มรูปงามแห่งเมืองสุพรรณ ทำให้เจ้าหนุ่มในวัย 15 ที่อยู่ในร่มกาสาวพักตร์เป็นเณร ลักลอบเข้ามาได้เสียกับสาวงามเพื่อนเล่นตั้งแต่เด็ก และไม่นานจากนั้น เจ้าหนุ่มก็ได้ให้แม่มาสู่ขอแม่พิมฯไปเป็นเมีย
  • ชีวิตรักของหนุ่มหล่อกับสาวสวยน่าจะราบรื่น..หากไม่เกิดสงคราม
  • เพราะในช่วงที่ผัวหนุ่มเมียสาวกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน ก็เกิดศึกเจ้าเมืองเชียงใหม่ สมเด็จพระพันวษา จึงมีคำสั่งให้พลายแก้วยกทัพไปเพื่อปราบปราม และเมื่อได้รับชัยชนะ พร้อมเลื่อนยศเป็น"ขุนแผน" สิ่งที่เจ้าผัวตัวดีนำมาเป็น"ของขวัญ"ให้เมียที่รออยู่ที่เรือนก็คือสาวเหนือชื่อ"ลาวทอง" โดยอ้างว่าพระเจ้าเมืองเชียงใหม่ยกให้
  • เมียที่รอผัวอยู่นานนับเดือนเมื่อได้รับผลตอบแทนการรอคอยเช่นนี้ นางจึงตัดสินใจผูกคอตาย
  • แต่ชะตากรรมของแม่พิมฯยังไม่ถึงที่สุด เพราะ"สายทอง" มาเห็นจึงช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ก็ทำให้ขุนแผนโกรธที่ถูกฉีกหน้า เจ้าผัวหนุ่มจึงตอบแทนเมียสาวด้วยการพา
  • ลาวทอง ไปอยู่ด้วยกันที่เมืองกาญจน์
  • ช่วงวุ่นวายของสงครามเชียงใหม่ เป็นโอกาสทองของ"ขุนช้าง"
  • ในระหว่างที่พลายแก้วไปรบและเงียบหายไปโดยไม่มีข่าวคราว และแม่พิมฯก็ล้มป่วยจนต้องเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ดเป็น"วันทอง"จึงหายป่วย เจ้าหนุ่มอีกคนคือ"ขุนช้าง"ที่หลงรักแม่พิมมาช้านาน ก็ได้หลอกสาวงามว่าพลายแก้วตายในที่รบ และแม่วันทอง จะต้องถูกริบเป็นม่ายหลวง โดยได้บอกทางออกกับนางศรีประจันว่าจะต้องให้มีผัวใหม่เพื่อไม่เป็นแม่หม้าย
  • นางศรีประจันก็หลงเชื่อ จึงยกวันทองให้แต่งงานกับขุนช้าง แต่แม่พิมฯก็ไม่ยอมร่วมหอลงโรง โดยยืนกรานว่าจะรอพลายแก้วกลับมา
  • แต่การรอของเธอ ได้รับการตอบแทนโดย"ของขวัญ"ที่พลายแก้วนำมาให้เชยชม คือ"ลาวทอง" ทำให้นางตรอมใจจนยอมเป็นเมียขุนช้าง
  • แม่พิมกับขุนแผนตอนอยู่ด้วยกันในป่า
  • สงครามแย่งหญิงงามของ 2 หนุ่มไม่จบง่ายๆ
  • "ขุนแผน"ต้องติดคุกเพราะฝากเวรยามให้ขุนช้างเพื่อกลับไปเยี่ยมลาวทองที่ป่วยอยู่ที่บ้าน แต่เพื่อนช้าง กลับนำความเข้ากราบบังคมทูลสมเด็จพระพันวษาว่าขุนแผนหนีเวร พระพันวษาจึงสั่งลงโทษขุนแผนไปอยู่ชายแดนและกักลาวทองไว้ที่โรงสะดึงในวัง โดยขุนแผนได้พาวันทองไปด้วย ขุนช้างจึงฟ้องพระพันวษาว่าขุนแผนขโมยเมีย พระพันวษาจึงสั่งจับกุมขุนแผนกับวันทอง ทั้งสองต้องหลบซ่อนในป่า ก่อนที่ขุนแผนยอมมอบตัวเมื่อวันทองมีครรภ์ใกล้คลอด
  • เมื่อมอบตัว ขุนแผนก็สู้คดีชนะขุนช้าง แต่เมื่ออยู่หน้าพระพัตร์พระพันวษา ขุนแผนกลับทูลขอนางลาวทอง ทำให้พระพันวษาโกรธาในความมักมากของขุนแผน จึงรับสั่งให้จำคุกขุนแผน
  • ขุนช้างจึงฉุดวันทองกลับไปอยู่ด้วยกัน และไม่นานนางก็คลอด"พลายงาม" แต่กลายเป็นว่า ขุนช้างพยายามฆ่าพลายงามหลายครั้ง แม่วันทองจึงจำต้องส่งบุตรชายให้ไปอยู่กับย่าที่กาญจนบุรี และได้เรียนรู้วิชาอาคมจนกล้าอาสาศึกและช่วยพ่อพ้นโทษ
  • "พิมพิลาไลย"ต้องตายเพราะปฏิเสธรักไม่เป็น !!!
  • เพราะมีความดีความชอบจากสงคราม พลายงามที่ชนะศึกเชียงใหม่ ได้รับพระราชทานนางสร้อยฟ้าพร้อมเลื่อนยศเป็นจมื่นไวยวรนาถ ซึ่งในวันแต่งงานของจมื่นไวยกับนางสร้อยฟ้าและนางศรีมาลา แม่วันทองก็มาร่วมงานของบุตรชาย แต่ขุนช้างกลัวนางจะคืนดีกับขุนแผน จึงตามมาขัดขวางจนทะเลาะกับจมื่นไวย และจมื่นไวยได้ใช้เวทย์มนตร์ไปนำตัวมารดาไปอยู่ด้วย
  • ขุนช้างกลัววันทองจะไปอยู่กับขุนแผน จึงถวายฎีกาแก่พระพันวษา พระพันวษาต้องการให้จบเรื่อง จึงให้วันทองเลือกว่าจะอยู่กับใคร
  • แม่พิมตัดสินใจลำบาก จึงทูลพระพันวษาว่าตามแต่จะโปรด ทำให้พระพันวษาโกรธว่าวันทองมักมาก จึงทรงรับสั่งประหารชีวิตวันทอง
  • ชีวิตของแม่พิมฯจึงจบลงทั้งที่จมื่นไวยทูลขออภัยโทษให้มารดาได้แล้ว แต่ไประงับการประหารชีวิตไม่ทัน
  • "พิมพาลาไลย" สาวงามที่แทบทั้งชีวิตไม่เคยมีความสุข จึงจบชีวิตลงพร้อม"ตราบาป"ติดตัวไปว่าเป็นหญิงสองใจ ทั้งที่เธอมีรักแท้คือ"ขุนแผน" ผัวหนุ่มที่ไม่เคยให้เมียสาวรู้จัก"ความสุข" เพราะมีหญิงสาวคนอื่นมาเตียงกายตลอดเวลา ทั้งที่ปากบอกรักแม่พิมตั้งแต่เป็นสามเณร ส่วนอีกคนคือ"ขุนช้าง"ที่รักเธอจริง แต่ก็ทำทุกอย่างด้วยเล่ห์กล จนนำไปสู่การเป็น"หญิงสองผัว"
  • พิมพิลาไลย...เสียชีวิตเพราะถูกรัก !!!

....
เปรตวันทองห้ามทัพ
  • ฝ่ายนางวันทองเมื่อตอนขาดใจ มีความอาลัยถึงลูก เวรกรรมที่มีอยู่จึงทำให้เป็นอสุรกาย ในวันที่พระไวยออกศึก นางเกรงว่าพระไวยจะถูกบิดาฆ่าตาย 
  • จึงแปลงกายเป็นหญิงสาวสวย มาดักพระไวยอยู่ระหว่างทาง พระไวยเห็นเข้าก็หลงรัก เข้าไปเกี้ยวพาราสี เมื่อพระไวยเข้ามาใกล้ 
  • นางแปลงก็ตวาดว่าตนเป็นมารดา แล้วบอกว่าศึกครั้งนี้หนักนัก ข้าศึกเข้มแข็งให้ระวังให้ดี ถ้าเข้าหักหาญจะเสียที แล้วกลายร่างเป็นเปรตไม่มีหัวหายตัวไป 
  • พระไวยเห็นดังนั้นก็ให้อนาถนัก แต่จำใจต้องยกทัพไปทำศึกต่อไป